มูลนิธิศูนย์ฮอทไลน์ ปรึกษาปัญหาชีวิต และโรคเอดส์ โทรฟรีทั่วประเทศ

ครอบครัว...ความรัก....และความรุนแรง (ตอน) ไหนว่าเราจะมีลูกด้วยกัน

15 ธันวาคม 2563
ครอบครัว...ความรัก....และความรุนแรง (ตอน) ไหนว่าเราจะมีลูกด้วยกัน

“ตั้งครรภ์ได้แปดสัปดาห์ ชวนพ่อของลูกไปจดทะเบียน เขาบอกไม่อยากจด ไม่รู้จะอยู่กันได้นานหรือเปล่า เราก็ตกใจ เดิมทีเขาบอกเราว่าอยากมีลูกด้วยกัน เราไม่อยากคลอดลูกออกมาแล้วต้องเลิกกับพ่อของลูก เพราะเราเองพ่อแม่เลิกกันตั้งแต่เด็ก ตอนนี้เราโมโหมาก รู้อย่างนี้ไม่ปล่อยให้ท้องกับผู้ชายคนนี้หรอก เราควรทำอย่างไรต่อไป?”

 

เรื่องนี้คงจะช่วยให้ผู้หญิงอีกมากมายที่กำลังก้าวเข้าสู่ความ สัมพันธ์กับคนรักเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ประเภทที่ “อยู่กินกันก่อนแต่ง”  หรือที่ฝรั่งเรียกว่า “Premarital” ต้องกลับมาคิดพิจารณาใหม่ ว่ายามที่หญิงชายอยู่ในอารมณ์เสน่หา คำพูดหรือความปรารถนาที่กล่าวออกมาเป็นเรื่องจริงจัง หรือเป็นเพียงแค่อารมณ์พาไป เพราะในความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชาย โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุบรรลุนิติภาวะแล้ว ก็ต้องแยกแยะให้ชัดเจนระหว่าง  “เรื่องจริงจังกับเรื่องเล่น ๆ”  ไม่เช่นนั้นเรื่องเล่น ๆ จะกลายเป็นเรื่องจริงจัง และเรื่องจริงจังอาจฟังเป็นเรื่องเล่น ๆ หรือสองคนสื่อสารไม่ตรงกัน

โดยเฉพาะเรื่อง “การจะมีบุตร” ยากที่จะบอกว่า “เป็นเรื่องเล็ก”  เพราะหมายถึง จะมีอีกชีวิตหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องในความสัมพันธ์ โดยที่ชีวิตน้อย ๆ ซึ่งเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชายคู่หนึ่งนั้น เลือกเกิดไม่ได้ว่าจะเกิดกับครอบครัวร่ำรวยหรือยากจน แต่คนที่เป็นพ่อแม่หรือผู้ให้กำเนิด สามารถกำหนดได้ว่า  ตนเองพร้อมจะยอมรับภาระหน้าที่การเลี้ยงดูเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนคลอดออกมา และต้องดูแลจนเด็กคนนั้นสามารถลุกขึ้นยืนหยัดทำมาหากินช่วยเหลือตนเองได้  ซึ่งอาจใช้เวลามากกว่า 20 ปี เพราะฉะนั้นการจะตั้งครรภ์หรือมีบุตร จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและจริงจัง ที่ต้องอาศัยการตัดสินใจด้วยเหตุและผล เพื่อนำไปสู่การรับผิดชอบร่วมกันระหว่างคนที่ได้ชื่อว่าเป็น “สามีภรรยาหรือคู่สมรส หรือพ่อแม่ของเด็ก

 ที่ผ่านมา สถานภาพของสตรีส่วนใหญ่อยู่ในฐานะที่ต้องพึ่งพิงบุรุษ  ผู้หญิงมากมายจึงต้องพยายามที่จะใช้วิธีการหลายอย่าง เพื่อจะได้ผูกใจบุรุษให้ตัดสินใจเลือกตน หรือรักเธอมาก ๆ และนาน ๆ ที่คนสมัยโบราณหรือคนรุ่นเก่าเรียกกันว่า “เสน่ห์ปลายจวัก” นั่นคือฝ่ายผู้หญิงเป็นแม่เหย้าแม่เรือน รู้จักเอาใจปรนบัติ่ฝ่ายชายให้รู้สึกสบายกายสบายใจจนไม่อยากทิ้งบ้านทิ้งผู้หญิงคนนี้ไปไหนนานๆ โดยเฉพาะรสชาติของอาหารถูกปาก ถูกใจชายให้มีความเสน่หาในตัวเธอมากยิ่งขึ้น  

ซึ่งการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันและควบคุม   กลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับฝ่ายหญิงมาโดยตลอด  เนื่องจากผู้ชายส่วนใหญ่ไม่รู้จักถุงยางอนามัยหรือใช้ไม่เป็น ในขณะที่ผู้หญิงมักเข้าใจว่า การใช้ถุงยางอนามัยเป็นเรื่องของฝ่ายชาย หรือถุงยางอนามัยมีไว้ใช้กับผู้หญิงขายบริการเท่านั้น  ซึ่งต่างจากสถานการณ์ปัจจุบัน ที่หญิงชายสามารถทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ หรือต้องออกทำงานช่วยกันเพื่อสร้างครอบครัว  การตั้งครรภ์จึงต้องเป็นความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย และที่สำคัญคือการคุมกำเนิดสมัยนี้  มีทั้งยาคุมกำเนิด  ถุงยางอนามัยสำหรับฝ่ายชาย  หรือวิธีการที่จะใช้ในการคุมกำเนิดในช่วงฉุกเฉิน ที่หญิงชายสามารถเลือกได้เมื่อยังไม่พร้อม

ทั้งนี้ ปัจจุบันหญิงชายมีอิสรภาพในการเลือกคู่ หรือมีมากมายใช้ชีวิตคู่ อยู่ร่วมกันก่อนการสมรส หรือก่อนจดทะเบียนสมรสอย่างเป็นทางการ อาจเพื่อจะได้มีโอกาส มีเวลาเรียนรู้จักกันทั้งอุปนิสัยใจคอ พฤติกรรม และความสัมพันธ์ว่าสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันต่อไปได้หรือไม่  และทั้งสองคน “รักกันจริง ๆ หรือเปล่า” ซึ่งพฤติกรรมการใช้ชีวิตร่วมกันก่อนการแต่งงานอาจมองเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับหญิงชายรุ่นใหม่  ที่ไม่ยอมให้เงื่อนไขของวัฒนธรรมประเพณี และความเชื่อของพ่อแม่ผู้ปกครองในอดีต มาเป็นอุปสรรคในการเลือกคู่สมรสด้วยตนเอง ด้วยเกรงว่า หากไม่รู้จักกันอย่างแท้จริงทั้งในเรื่องความสัมพันธ์ทางกาย/ทางเพศ  และทางใจแล้ว ก็อาจส่งผลให้เลิกรากันในที่สุด ที่สำคัญทำให้หญิงชายมากมายที่มีประสบการณ์มาจากครอบครัวหย่าร้างแตกแยก หลีกหนีไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำกันนั้น ซึ่งความเชื่อที่ขาดสติและขาดความยั้งคิดก็อาจจะทำให้เหตุการณ์ที่ตนเองกลัว กลับมาเกิดขึ้นจริง ๆ ก็ได้  ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง ไม่ว่าหญิงชายจะไม่เคยรู้จักคุ้นเคยหรือไม่ได้รักกันมาก่อน  หรือหญิงชายที่อยู่กินกันมาก่อน  เชื่อว่ารู้จิตรู้ใจกันอย่างดี  แต่เมื่อแต่งงานกันนานไป  ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่กันรอดตลอด  คู่สมรสมากมายแม้จะแต่งงานอยู่กันจนแก่เฒ่า  สุดท้ายก็แยกกันไปต่างคนต่างอยู่  เพราะฉะนั้นวันเวลากับคำว่า  “รู้จักกันดี”  ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันให้ชีวิตคู่อยู่ถาวรกันตลอดไปได้

นั่นหมายความว่าการจะมีชีวิตคู่ที่มีความสุขราบรื่นหรือมีอุปสรรคปัญหา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในอดีตหรือการลองอยู่เพื่อรู้จักกันให้ดีก่อน ดังที่นิยมกันอยู่ในปัจจุบันเสมอไป แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตอย่างไรให้ลงตัว หรือมีการปรับตัวให้เข้ากันได้  โดยทั้งหญิงชายแสดงความรับผิดชอบเยี่ยงคนที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่เป็นผู้ใหญ่เพียงพอ และมีความกล้าที่จะเผชิญปัญหาไปทีละขั้นตอน เพราะปัญหากับชีวิตเป็นของคู่กัน

กรณีคุณผู้หญิงท่านนี้ เธอบอกว่า เธอรู้สึกเครียดเพราะเด็กในท้อง  เนื่องจากเธอกำลังตั้งครรภ์ได้แปดสัปดาห์ และเมื่อเธอชวนฝ่ายชายไปจดทะเบียน  เขากลับปฏิเสธและบอกว่า ไม่ต้องการเพราะคงอยู่ด้วยกันไม่รอด หรือไม่นาน จึงไม่จำเป็น  ส่วนเธออึ้งไปด้วยความตกใจ  ความวิตกกังวล ความไม่สบายใจและหวาดกลัวว่าตนเองจะทำอย่างไรกับเด็กในท้องต่อไป ทั้งที่เขาเองก่อนนี้ บอกเธอว่า อยากมีลูกกับเธอ เธอก็ตามใจเขา เอาใจเขา แต่วันนี้เขาเปลี่ยนไปเหมือนไม่ต้องการเด็ก และเขาไม่แน่ใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอจะไปรอด ดูเหมือนเขาจะไม่รับผิดชอบต่อคำพูดของตนเอง ที่ว่าต้องการจะมีลูกกับเธอ เธอรู้สึกโกรธเขา  โมโห  เสียใจ ผิดหวัง  และที่สำคัญคือเธอรู้สึกโกรธตนเอง  ที่ยอมตั้งครรภ์เพื่อเขา ไม่ใช่เพราะเธอต้องการเด็ก ทั้งที่เธอคือคนที่จะต้องแบกรับภาระการตั้งครรภ์ตลอดเก้าเดือนและ ถึงขณะนี้เธอมองว่า  “เด็กในครรภ์”  กลายเป็นปัญหาของเธอคนเดียว!

เธอบอกกับตัวเองว่า “รู้อย่างนี้ไม่ปล่อยให้ท้องกับผู้ชายคนนี้หรอก!” นั่นหมายความว่า ในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอ สิ่งที่เขาพูด บอกเธอ อาจไม่ใช่เรื่องจริงจัง ในขณะที่เธอต้องการที่จะมีลูกกับเขาจริง ๆ หรือเธอคิดว่า การมีลูกจะช่วยทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอ มั่นคงปลอดภัยขึ้นในอีกความหมายหนึ่ง เป็นไปได้หรือไม่ว่า   เธออาจต้องการใช้เด็กเป็นเครื่องมือผูกมัดความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอให้เป็นจริงมากกว่าความจริง?!?

ความสัมพันธ์ที่คลุมเครือไม่ชัดเจน  หรือการปล่อยไปตามอารมณ์  ทำให้เกิดความรู้สึกสับสนขัดแย้ง หวาดระแวงและไม่มั่นคง ซึ่งอาจส่งผลประทบต่อสภาพจิตใจและร่างกายของแม่และเด็กในครรภ์  มากกว่านั้นคือ  ออกจะเป็นทางเลือกหรือการตัดสินใจที่ไม่ยุติธรรมสำหรับเด็ก  และการจะใช้วิธียุติการตั้งครรภ์ก็ไม่ใช่ทางออกของปัญหา เพราะปัญหาความเครียดครั้งนี้  อยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชาย  ก็คงจะถึงเวลาที่ฝ่ายหญิงจะต้องเริ่มในการเจรจาว่า ทั้งสองคนมีความจริงจังในความสัมพันธ์นี้แค่ไหนและเพราะอะไร โดยไม่นำเด็กในครรภ์มาเป็นเงื่อนไข แต่พยายามแก้ไขข้อบกพร่องระหว่างคนทั้งสองทีละขั้นตอน เพื่อปรับตัวเข้าหากัน  เหมือนความตั้งใจครั้งแรกที่ต้องการรู้จักกันให้ดีก่อนการจดทะเบียนสมรส แต่มากกว่านั้น สุดท้ายเธอต้องทบทวนคำพูดของเขาว่าต้องการจะมีลูกด้วยกัน  และวันนี้ก็มีมาแล้ว  จะส่งเด็กกลับก็ไม่ได้  และไม่ว่าจะอยู่กันนานแค่ไหน  สักขีพยานของความสัมพันธ์ได้เกิดขึ้นแล้ว  ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เขาจะหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธได้  เขาอาจปฏิเสธที่จะไม่จดทะเบียนสมรสกับเธอ  แต่จะปฏิเสธว่าเขาไม่ใช่ “พ่อของลูก” คงไม่ได้! แต่การที่เขาจะรับผิดชอบหรือตกลงที่จะจดทะเบียนสมรสกับเธอนั้น  คงไม่มีอะไรบังคับเขาได้เช่นกัน  เพราะเป็นเรื่องของความสมัครใจ  หรือแม้กระทั่งเรื่องลูก  หากเขาจะตัดสินใจไม่รับรองบุตร  หรือปฏิเสธก็คงทำได้เพราะการมาอยู่กินกันระหว่างคนสองคนครั้งนี้  เป็นเรื่องของคนที่บรรลุนิติภาวะแล้ว  กฎหมายก็เอาผิดเขาไม่ได้  ทำได้อย่างดีที่สุดสำหรับคุณผู้หญิงในฐานะแม่ของเด็กในครรภ์ คือจะเจรจาต่อรองให้เขาทำหน้าที่หรือยอมรับผิดชอบส่งเสียเด็กในท้องได้อย่างไรบ้าง  เพราะนั่นคือหน้าที่ของแม่ที่จะต้องปกป้องสิทธิของลูกของเด็ก นอกเสียจากฝ่ายหญิงจะมีฐานะอาชีพ มีหน้าที่การงานมีรายรับเพียงพอจะส่งเสียบุตรที่เกิดมาด้วยตนเอง  โดยไม่ต้องพึ่งพิงใคร  และไม่ต้องการความช่วยเหลือจากฝ่ายชาย  ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้หญิงเป็นหลักเช่นกัน!


กลับด้านบน